รีวิวชิวรอบโลกตอนที่ 2 รีวิวเที่ยวมองโกเลีย นี้ เราจะเล่าถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆที่ได้ไป อาหารที่แนะนำ และ รวมถึง ค่าใช้จ่ายต่างๆที่เราจดไว้ด้วยนะคะ
ใครยังไม่ได้อ่านๆ ตอนแรก แนะนำมองโกเลีย และ ดูวิธีการสร้างบ้าน (แบบง้ายง่าย) ของชาวมองโกเลีย ดูที่ Link นี้ได้เลยค่ะ https://rainbowhenclub.com/เที่ยวมองโกเลีย/
การเดินทาง
บินมาลงที่สนามบิน เจงกิสข่าน Chinggis Khaan International Airport ซึ่งอยู่ในเมืองอูลันบาทาร์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของมองโกเลีย เราเป็นคนไทย เดินทางเข้าประเทศเขาได้ โดยไม่ต้องขอวีซ่า ซึ่งถือว่าโชคดีมาก เพราะเราเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในเอเชีย และรอบโลกที่ไม่ต้องใช้วีซ่าเข้าประเทศเขา
คนไทยสามารถเข้าเยี่ยมประเทศเขาได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่า เป็นจำนวน 30 วัน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เวปของกระทรวงการต่างประเทศของมองโกเลีย ที่นี่ค่ะ http://www.mfa.gov.mn/?page_id=18131&lang=en
เมื่อลงจากสนามบินแล้ว การเดินทางเข้าเมืองอาจจะดูวุ่นวายนิดหน่อย เขายังไม่มีรถไฟฟ้าในเมืองในปี 2019 ที่เดินทางไป วิธีที่ดีที่สุดคือเรียกแท็กซี่ค่ะ แท็กซี่ที่นี่ก็ต้องเลือกนิดนึงค่ะ เขามีทั้งแบบคิดมิตเตอร์ แล้วก็แบบเหมา ก่อนจะก้าวขึ้นรถ แนะนำว่าให้ตกลงกันให้รู้เรื่องว่าเราจะจ่ายแบบไหน คนมองโกเลียการสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษทั่วไปนั้นยังไม่ค่อยดีค่ะ เขาจะไม่ค่อยเข้าใจเรา ใช้ Google Translate ที่ละคำก็ช่วยได้มากค่ะ
สูตรคำณวน ค่า Taxi
ง่ายๆ ที่เราได้มากจากคนพื้นที่คือ 2,000-2,500 MTK ต่อ 1 กิโลเมตรค่ะ มาคนเขาอาจชาร์จเพิ่มค่าบริการเล็กน้อย เช่นค่าเรียก อีก 1 หรือ 2,000 ก็โอเคค่ะให้เขาไป เหมือนเป็นธรรมเนียมไงไม่ทราบ แต่ให้ไปต่อ ก็คุยกันไม่รู้เรื่องค่ะ
ค่าเงินมองโกเลีย คือ Tugrik ทูริก ตีเป็นเงินไทย ก็ประมาณ 10 บาท ต่อ 1 พันค่ะ
เที่ยว
ที่เที่ยวที่นี่มีให้ไปหลายที่อยู่ ออกไปนอกเมืองก็ได้เจอบรรยากาศ หลายๆ แบบกันไปทั้ง ทุ่งหญ้า ทะเลทราย ภูเขา วันนี้ขอเล่าถึงเมือง และสถานที่ที่เราไปค่ะ
มาถึงครั้งแรกก็ต้องเข้าเมืองก่อน ในเมืองหลวง อูลันบาทาร์ สามารถเดินเที่ยวได้รอบๆสบายๆค่ะ มีทางเดินเท้าไปทั่ว เดินสบายแต่ข้อเสียนิดคือ รถติดมากค่ะ พอรถติดก็มลพิษจากท่อไอเสียมาให้ดมกันเต็มๆค่ะ
สถานที่ที่อยู่ใจกลางเมืองเลยก็คือ Sukhbaatar Square เป็นจตุรัสขนาดใหญ่ใจกลางเมือง อยู่ด้านหน้าของตึกทำงานของรัฐบาล หรือที่เขาเรียกว่า Govermnet Palace ใจกลางจตุรัส มีรูปปั้นของ Sukhbaatar ผู้เป็นเอกบุรุษของชาติ ในการปฏิวัติประเทศ
ที่ตัวตึกรัฐสภา จะมีรูปปั้นบุคคลสำคัญของมองโกเลียอีก 3 ท่าน คือ เจงกิสข่าน Genghis Khan, โอเกอเดข่าน Ögedei Khan, และ กุบไลข่าน Kublai Khan โดยเฉพาะเจงกิสข่านนั้น ชาวมองโกเลียเรียกท่านว่า พ่อของชาติ Father of Mongolia
ออกมารอบๆเมือง
ที่ต่อมาคือ Tasgan Ovoo Terrace เป็นจุดเนินที่สูงที่สุดที่อยู่ใกล้ใจกลางเมืองอูลันบาทาร์ สามารถมองเห็นบรรยากาศเมืองรอบๆได้ อาจได้ไม่ดีเท่าจุดชมวิว สวยๆที่อื่นๆ แต่ก็ใช้ได้ทีเดียวค่ะ ได้อารมณ์บ้านเมืองเขาว่าเป็นอย่างไร
ขณะเดินไปที่เนิน บรรยากาศบ้านเมืองเขาก็เป็นแบบนี้ค่ะ เห็นได้ว่า แม้จะอยู่ในเมืองแต่เขาก็ยังอาศัยอยู่ในบ้านแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า เกอร์ Ger
ตอนเดินผ่านมา ด้านหน้าที่จะมีวัดอยู่ค่ะ เข้าไปชมได้ สวยงามดีค่ะ เป็นลักษณะวัดตามแบบพุทธของธิเบต ชื่อวัดว่า Gasper Temple
อีกที่นึงที่ได้ไป แต่พอดีไม่ได้เอาเงินสดติดตัวมาจ่ายค่าตั๋วเข้าไปชม มองจากด้านนอกสวยงามมากค่ะ ด้านในเรามองลงมาจากโรงแรม เห็นว่าน่าเข้าไปชมมาก เสียดายรอบนี้ไม่มีเวลากลับไปดูอีกทีค่ะ ค่าเข้าชมจำไม่ได้ว่าเท่าไร แต่จำได้ว่าถูกมากค่ะ คือ ที่ Choijin Lama Museum เดิมเคยเป็นวัดโบราณ
สถานที่อื่นๆที่น่าไปก็มีนะคะ แต่เราไม่มีเวลาไปเพราะจะต้องไปเมืองอื่นแล้ว ครั้งหน้าอาจจะกลับเก็บค่ะ เช่นๆ International Intellectual Museum, Ulaanbaatar City Museum, Bogd Khan Palace Museum, National Museum, Central Museum of Mongolian Dinosaurs, Burkhan Buddha Memorial, Zaisan Tolgoy Memorial.
ผจญภัยนอกเมืองหลวง
ไปมองโกเลียรอบนี้ มีเวลาไม่มาก เราเลยเลือกที่จะออกนอกเมืองไปเที่ยวที่เทอเรลจ์แทนค่ะ Terelj
Terelj เป็นชื่อของเขตอุทยานแห่งชาติที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวง ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองมาถึงที่นี่ประมาณ ชั่วโมงนิดๆ มีวิธีการเดินทางง่ายๆอยู่สองแบบคือ นั่งรถทัวร์ กับจ้างรถมีคนขับไปค่ะ ด้วยเวลาเรามีจำกัดเราเลยเลือกจ้างคนขับค่ะ
ค่ารถขาเดียวจากเมืองหลวงเราจ่ายไป 200,000 MTK ซึ่งราคานี้เหมาค่ะ หมายความว่า ถ้ายิ่งไปกันหลายคนยิ่งถูก รถนั่งมากสุดก็น่าจะ 3-4 คน ก็หารกันเอาค่ะ เรามีชื่อกับหมายเลขติดต่ออยู่ ใครต้องการทราบ ถามมาได้ค่ะ เขาติดต่อให้สะดวกดี แล้วก็สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษกับเราได้ดีมากค่ะ คนในเมืองหลายๆ คนที่เจอ พูดภาษาอังกฤษได้แบบดีมากๆเลยค่ะ ออกไปนอกเมืองก็สื่อสารลำบากหน่อย ภาษาใบ้เอาค่ะ
ที่ๆแรกที่แวะระหว่างทาง คนขับเขาพาไปดูคนเลี้ยงนกค่ะ นกที่นี่ไม่ใช่ธรรมดา เป็นแร้ง และเหยี่ยว เราสามารถไปจับเล่น และถ่ายรูปกับมันได้ค่ะ เขาคิดค่าถ่ายคนละ 5,000 MTK บอกเลยว่า หนักมากก กล้ามแขนต้องดีมากๆค่ะ
ถึงที่พัก
เราเลือกพักครั้งนี้กับครอบครัวมองโกเลียค่ะ Host Family ในคืนแรก และคืนที่สองเป็นเกอร์ที่เป็นแบบโรงแรม เหมือนเดิมนะคะ ใครต้องการทราบรายละเอียด ถามหลังไมค์มาได้ค่ะ
ค่าที่พักเขาคิดราคาเป็นหลังค่ะ หลังนึงนอนได้หลายขนาด ที่พักทั้งสองที่เป็นแบบ 4 เตียง นอนได้ 4 คน เหมือนกันพอดีค่ะ เราจ่ายไปเฉพาะค่าเกอร์ 150,000 MTK ต่อหนึ่งคืน
มาดูคืนแรกก่อนค่ะ มาเจอวันแรกจากในเมืองมาก็จะ culture shock นิดนึงค่ะ คือ เขาอยู่อาศัยแบบชีวิตดั้งเดิมจริงๆค่ะ ไม่มีไฟฟ้า และห้องน้ำเป็นหลุมขุด อยู่นอกบ้านในออกไปนิดนึงค่ะ
คืนที่เราไปนอนช่วงปลายเดือนกันยายน ตอนกลางคืน หนาวมากกก -9 องศา ไม่มีฮีตเตอร์นะคะ มีแค่เตาก่อไฟกลางบ้านหนึ่งอัน ซึ่งบอกเลยว่า ตอนก่อนจะนอนช่วงหัวค่ำ คือไฟชุกแรง แบบร้อนเลยค่ะ พอตกดึกๆไฟมอดหมด โฮสเขาไม่มาเติมให้คือหนาวจนจะแข็งทั้งตัว ฉะนั้นใครจะไปนอนแบบนี้ เตรียมเครื่องแต่งกายให้เหมาะสมนะคะ เพราะเราไปอยู่กลางธรรมชาติ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆทั้งสิ้น
บ้านของโฮสต์เขาก็จะมีกลุ่มเกอร์อยู่หลายหลังค่ะ อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ค่ะ
Glamping = Glam + Camping
ส่วนที่พักที่สองที่ไปนอน เป็นเกอร์แบบโรงแรมที่เป็นแบบ Glamping คือมีไฟฟ้าใช้เป็นช่วงเวลา และมี ฮีตเตอร์ที่พื้นค่ะ อันนี้จะสะดวกหน่อย เพราะว่าจะอุ่นกว่า (แต่ก็ยังหนาวอยู่) ห้องน้ำก็ยังอยู่ด้านนอก เป็นอาคารแยกต่างหาก มีน้ำอุ่น และมีส้วมค่ะ
ที่พักแบบนี้ดีคือสะดวกสบายมากค่ะ แต่ก็ขัดนิดๆเพราะรู้สึกว่ามันขัดกับบรรยากาศนิดๆค่ะ คือเขาจะเปิดไฟสว่างจ้าเยอะไปหมด จำได้ว่าตอนอยู่กับโฮสมองมองมาเห็นไฟสว่างจ้าอยู่ไกลๆ เพิ่งมารู้ว่ามาจากกลุ่มโรงแรมนี้ค่ะ เรามาอยู่ที่โรงแรมนี้ ขนาดอยู่กลางป่านะคะ แต่ไม่เห็นดาวเลย ไม่เหมือนตอนอยู่กับโฮสต์ คือ ท้องฟ้าแบบดาวล้านดวง สวยมากๆ
กิจกรรม
กิจกรรมที่มีให้ทำก็หลากหลายนะคะ จะช่วยโฮสต์เขาเลี้ยงสัตว์ ทำอาหาร รีดนมแพะ ก็ได้
ไปเดินเขาชมบรรยากาศรอบๆก็สวยค่ะ ใครอยากขี่ม้า โฮสต์เขาก็จัดให้ได้ค่ะ ราคาไม่แพงมาก ไม่มีอะไรทำก็จะเหมาะกับการไปรีแลกซ์ชิวๆอยู่กับธรรมชาติ อ่านหนังสือ สงบดีค่ะ
นอกจากนี้ที่เที่ยวก็มีอยู่นะคะ เราสามารถบอกให้โฮสต์ขับรถพาไปได้ เขาก็ชาร์ตค่าน้ำมันเล็กน้อย ก็มี Turtle Rock คือ เป็นหินขนาดมหึมาซ้อนกันรูปร่างคล้ายเต่า (คนที่นี่เขาชอบเรื่องกองหิน)
แล้วก็มีวัดบนยอดเขา อันนี้จำชื่อไม่ได้จริงๆค่ะ แต่บอกเขาได้เลยว่า Temple on the Mountain เขารู้ค่ะ อยู่ใกล้ๆกับ Turtle Rock ค่ะ
อีกที่ก็คือ รูปปั้นเจงกิสข่านที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใหญ่ มโหฬารมากค่ะ เป็นตึก 20-30 ชั้นได้ค่ะ เราสามารถขึ้นลิฟต์ไปชมวิวที่ยอดของรูปปั้นได้ค่ะ ด้านในก็มีพิพิธภัณฑ์ด้วย
ต่อครั้งหน้า
เรื่องอาหารการกิน ช้อปปิ้ง ขออนุญาตยกไปตอนหน้าตอนสุดท้ายนะคะ อันนี้รู้สึกว่ายาวไปละค่ะ ฮา 55
- ดวงจันทร์ 10 ข้อเท็จจริงที่เราไม่เคยรู้มาก่อน
- อยากเป็นหมอ เรียนที่ไหนดี 5 อันดับคณะแพทย์ที่ดีที่สุด
- ทำไมต้องทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่
- ทำไมถึงมีปรากฏการณ์น้ำขึ้น น้ำลง
- สาระน่ารู้ เกี่ยวกับวันเข้าพรรษา
Be the first to comment